“ธุรกิจร้านคาเฟ่” จะต้องมีประเภทธุรกิจประเภทอาหารที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น “ร้านคาเฟ่” จะต้องตอบคำถามเหล่านี้ด้วย ของคนอัพเดททั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค
โดยในแง่ของผู้ประกอบการ การเปิดร้านคาเฟ่ถือเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นได้ไม่ยากนักและมีอิสระภาพสูงสามารถที่จะใส่ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ทั้งในด้านของการบริหาร เมนู วัตถุดิบ สูตรการชง ราคา จนไปถึงการตกแต่งร้าน ทั้งยังสามารถขายแบบเปลี่ยนโลเคชั่นได้ด้วย Food truck หรือ Coffee bike หรือเปิดท้ายขายตามโลเคชั่นต่าง ๆ และด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้สามารถขายผ่านระบบออนไลน์และฟู๊ดเดลิเวอรี่เซอร์วิสได้ซึ่งช่วยเพิ่มช่องทางทำรายได้ได้มากกว่าวิธิการขายหน้าร้านแบบเดิม ๆ ทำให้การเป็นเจ้าของร้านคาเฟ่เป็นเรื่องง่ายและไร้ขีดจำกัด
อีกทั้งความนิยมในเครื่องดื่มกาแฟของคนไทยที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยคนรุ่นใหม่นิยมดื่มกาแฟใหม่ ๆ มากขึ้นจากเมนูเดิม ๆ และการเข้าร้านคาเฟ่ได้กลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ยอดนิยมยามว่าง จึงไม่น่าแปลกใจที่เราได้เห็นกลุ่มหนุ่มสาวที่อยากเป็นนายตัวเองจะหันมาเปิดาธุรกิจร้านกาแฟหรือเบเกอรี่กันมากขึ้น แต่กระแสนิยมเป็นเหมือนแฟชั่นที่มาเร็ว-ไปเร็ว สิ่งที่จะครองใจลูกค้าตัวจริงได้คือคุณภาพของสินค้า และอิสรภาพในการประกอบอาชีพจะนำมาซึ่งความยั่งยืนได้นั้น จำเป็นต้องเป็นอาชีพที่ทำรายได้เช่นกัน มาดูกันว่า 7 ข้อความทำก่อนตัดสินใจเปิดร้านคาเฟ่มีบ้าง
- จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง
สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจคือการวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองในด้านการเงิน ไลฟ์สไตล์ ความสามารถและความคล่องตัวในการทำงาน เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจศักยภาพและอุปสรรคที่คุณจะต้องเผชิญ เขียนออกมาเป็นข้อ ๆ ทั้งโอกาสและอุปสรรคเพื่อการวิเคราะห์หาทางแก้ไขเป็นเรื่อง ๆ ไป
- เข้าใจตลาดและคู่แข่ง
ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ คุณควรจะรู้ว่าใครคือลูกค้าเป้าหมายของคุณ และในรัศมี 3 กิโลเมตรจากที่ตั้งนั้นมีคู่แข่งกี่ราย คู่แข่งเหล่านั้นมีจุดแข็งอะไรที่ดึงดูดลูกค้า ลองไปเป็นลูกค้าของคู่แข่งแต่ละเจ้าและคิดถึงกลยุทธ์ที่จะทำให้คุณสามารถดึงลูกค้าของเขามาเป็นของตัวเองได้ เพื่อนำมาปรับใช้ในแผนธุรกิจต่อไป
- กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด
เมื่อรู้เขารู้เราแล้ว ลำดับต่อมาคือการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มาพบคุณ ทั้งด้านการตั้งชื่อร้าน ราคา โปรโมชั่น การตกแต่งร้าน การทำเมนูที่แตกต่างหรือเมนูเสริม การออกงานแสดงสินค้าเป็นหนึ่งช่องทางที่เปิดโอกาสให้คุณได้พบกับลูกค้าตัวจริงรายใหม่ ๆ แบบตัวต่อตัวจำนวนมาก มีโอกาสในการนำเสนอสินค้าให้ลูกค้าได้ชิม โอกาสในการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า พร้อมอัพเดทเทรนด์ทางการตลาดและสินค้าคู่แข่ง ทั้งหมดทั้งมวลในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
- การจัดสรรคเงินทุน
เมื่อได้แผนการตลาดแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องดูแลเรื่องของเงินลงทุน โดยการแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนและควบคุมการใช้จ่ายในแต่ละหมวดให้อยู่ในวงเงินที่ตั้งไว้ โดยสามารถแบ่งได้คร่าว ๆ ดังนี้
- ค่าก่อสร้าง
- ค่าอุปกรณ์และวัตถุดิบ
- ค่าน้ำ ค่าไฟ
- ค่าเช่าสถานที่ (ถ้ามี)
- ค่าจ้างพนักงาน (ถ้ามี)
- ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์
- เงินทุนหมุนเวียน
- ภาษี ต่าง ๆ
- ค่าของใช้ฟุ่มเฟือย เช่น ค่าตกแต่งร้านและค่าดนตรี เป็นต้น
- วางแผนการบริหารธุรกิจ
แผนบริหารจัดการธุรกิจเป็นสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วนั้นมันคือสิ่งที่ขาดไม่ได้และควรให้ความสำคัญอย่างมากหากคุณอยากให้ธุรกิจของคุณเติบโต หลายธุรกิจเปิดได้ซักพักก็สูญหายไปเพราะขาดแผนการบริหารธุรกิจที่ดี แผนบริหารธุรกิจที่ดีประกอบด้วย
- การบริหารต้นทุนและเงินหมุนเวียนในแต่ละเดือน
- การบริหารวัตถุดิบ
- กลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขาย (Upselling) และขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเพิ่มกำไร (Cross Selling)
- การบริหารพนักงานที่ชัดเจน
- เวลาเปิด-ปิด
- 6. ประเมินระยะเวลาคืนทุน
เพื่อให้เห็นภาพรวมในระยะยาว “การหาระยะเวลาคืนทุน” เป็นสิ่งจำเป็นในขั้นตอนการวางแผนธุรกิจคุณจำเป็นต้องรู้ว่าระยะเวลาคืนทุนอยู่ที่กี่เดือนหรือกี่ปีก่อนที่ร้านของคุณจะสามารถทำรายได้เท่ากับเงินทุนที่ตั้งไว้ เพื่อนำมาวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนในลำดับต่อไป
โดยการคำนวณหาระยะเวลาคืนทุนแบบง่าย ๆ จะต้องรู้ตัวเลข 4 อย่างด้วยกัน คือ
- เงินลงทุน
- ประมาณการรายได้ต่อเดือน
- ประมาณการค่าใช้จ่ายต่อเดือน
- ประมาณการกำไรต่อเดือน
จากนั้นนำตัวเลขเหล่านั้นมาคำนวณหาจุดคืนทุน ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินลงทุน 600,000 บาท ประมาณการรายได้อยู่ที่ 80,000 บาทต่อเดือน และประมาณการค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 35,000 บาทต่อเดือน ให้นำมาคำนวณหาประมาณการของเงินกำไร
โดยเอารายได้หักด้วยรายจ่าย ( 80,000 – 35,000) บอกให้เป็นรายเดือน ( 45,000 บาท) ขอให้ระยะเวลาคืนทุนโดยให้เอาต้นทุนตั้งและหารด้วยกำไรต่อเดือน ( 600,000 ÷ 45,000) ปล่อยให้มีรายจ่าย จำนวนเดือนที่ต้องดำเนินกิจการก่อนจะคุ้มทุนเป็นเวลา 13 – 14 เดือน เป็นต้น
เมื่อหาจุดคืนทุนได้แล้ว ให้พิจารณาว่าจะตัดสินใจลงทุนเปิดร้านกาแฟของคุณหรือปรับกลยุทธ์การขายหรือไม่ ระยะการคืนทุนต้องมีเช่น หรือจะลดให้มากน้อยเพียงใดก็จะคืนทุนให้นั่นเอง
- ประเมินจุดคุ้มทุน
การประเมิณจุดคุ้มทุนจำเป็นต้องใช้เพื่อกำหนดราคาขายต่อชิ้นและรายวัน – ต่อเดือนเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือนและแต่ละวันที่ผู้ทำยอด ขายได้มากเท่าไรจึงจะไม่ขาดทุน ซึ่งคำนวณได้จากการเอาต้นทุนมาใช้ เช่น ป้อนพื้นที่ให้ค่าพนักงานต่อคน ค่าน้ำและค่าไฟแล้วนำมาหารด้วยกำไรเฉลี่ยต่อแก้วที่ต้องการ
คอสย่อมเยา: คอยต้อนรับ 15,000 + ค่าพนักงาน 12,000 + ค่าน้ำและค่าไฟ 3,000 = 30,000 บาทต่อเดือน
เพื่อหากำไรต่อแก้ว: ราคาขาย – ต้นทุนต่อแก้ว ( 45 – 15 = 30 บาทต่อแก้ว)
ให้นำต้นทุนมาหารด้วยกำไร ซึ่งจะทำให้จุดคุ้มทุน (30,000 ÷ 30 = 1,000 แก้วต่อเดือน หรือ 34 แก้วต่อวัน)
อย่าลืมเปรียบเทียบรถที่จะขายให้มากกว่า 34 แก้วต่อวัน หรือมีเวลาขายทุกครั้งภายในร้าน ระยะเวลาคืนทุนก็จะไม่ต้องเสีย